วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

ย้อนรอย (สถาปัตย์)วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544

world trade center


เหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11/2001 สูญเสียผู้คนไปมากมายก็จริง ในวันนั้นก็ผ่านมาถึง 10 ปีแล้ว  เหตุการณ์วันนั้นใครถูกใครผิดใครเป็นผู้ก่อ ใครได้ผลประโยชน์อันนี้ไม่ขอพูดถึงนะครับ!!






เวิร์ลดเทรดเซ็นเตอร์ ( World Trade Center) เป็นกลุ่มอาคารจำนวน 7 อาคารในนครนิวยอร์ก ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ. 2509-2520 (เวลารวมในการก่อสร้างครบ 7 อาคาร) ออกแบบโดยสถาปนิกลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่น" มิโนรุ ยามาซากิ" ร่วมด้วยบริษัท เอเมอร์รี่ รอท แอนด์ซันส์ โดยอาคารแฝดถูกทำลายในเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 และอาคารอื่น ๆ เสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้




" มิโนรุ ยามาซากิ" Minoru Yamasaki สถาปนิกผู้ออกแบบตึก เขาได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมแบบ  Gothic เขาออกแบบตึกให้ดูทันสมัย





เริ่มก่อสร้าง ค.ศ. 1966 (อาคาร 1 สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1970 และอาคาร 2 เมื่อ ค.ศ. 1972 เริ่มทำพิธีเปิดอาคารวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1973 แต่ละวันจะมีพนักงานทำงานในอาคารนี้มากกว่า 50,000 คน และนักท่องเที่ยวมากกว่า 200,000 คน เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์มีรหัสไปรษณีย์ของตัวเอง คือ 10048
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เป็นสัญลักษณ์ของนครนิวยอร์ก และปรากฏตัวในภาพยนตร์จำนวนมาก เช่น เรื่อง The Godfather III, World Trade Center, MIB, United 93, Oliver and Company









เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 1 (อาคารเหนือ) มี 110 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 2 (อาคารใต้) มี 110 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 3 (โรงแรมมาร์ริออทท์) มี 22 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 4 (อาคาพลาซ่าเหนือ) มี 9 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 5 (อาคารพลาซ่าใต้) มี 9 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 6 (U.S. Customs House) มี 8 ชั้น
เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 7 มี 47 ชั้น



การถล่มของอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

        เนื่องมาจากแรงปะทะจากเครื่องบิน โบอิง 767 ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 170 ตัน พุ่งเข้าชนตัวตึกแบบเฉือนจุดกึ่งกลางภายในตึกด้วยความเร็ว 570 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นแรงการกระทำต่อตึกสูงขณะอยู่กับที่ (Dynamic Lode) ส่งผลให้ชิ้นส่วนบางส่วนของเครื่องบินหลุดออกจากตัวตึก เช่น เครื่องยนต์ของเครื่องบิน 767 แต่ส่วนใหญ่ชิ่นส่วนของตัวเครื่องจะฝังอยู่ในตัวตึกพร้อมด้วยแรงระเบิดมหาศาลจากเชื้อเพลิงของเครื่องบินที่บรรจุมาพร้อมกับตัวเครื่องอย่างเต็มลำลุกไหม้ นอกจากนี้การชนทำให้เสาหลักและช่องลิฟท์ของตึกเสียหายซึ่งการกระจากน้ำหนักของตึกต้องกระจายน้ำหนักอ้อมส่วนที่เสียหายไป แต่การชนนี้ไม่ทำให้ตัวตึกถล่มลงทันทีเพราะตัวอาคารนั้นได้ถูกออกแบบให้ทนต่อการชนของเครื่องบิน โบอิง 707 นอกจากนั้นโครงสร้างหลักของตึกนั้นเป็นแกนหลักคล้ายท่อเหล็กตรงกลางอาคาร(Steel Framed Tuble) และโครงเหล็กถัก (Truss) จากแกนหลักไปยังผนังตึก เพลิงไหม้ที่ไหม้อยู่ของตึกนั้นมีอุณหภูมิสูงถึง 800C ส่งผลให้โครงเหล็กถักเกิดการงอเนื่องจากน้ำหนักของชั้นและหลุดออกจากสิ่งที่มันยึดอยู่สงผลให้ชั้นแต่ละชั้นถล่มลงมาด้วยน้ำหลักของแต่ละชั้นเอง (Self Weight) เพียงแค่ 1 ชั่วโมงเองที่ทำให้โครงเหล็กถักงอและถล่มลงมา










เพราะเหตุใดตึกทั้งคู่จึงยุบตัว? คำตอบคือ อัคคี

เครื่องบินโบอิ้ง 767-200ER ทั้งสองลำนั้นมีขนาดปลายปีกจรดปลายปีกประมาณ 47.6 เมตร ยาว 48.5 เมตร จุผู้โดยสารมากที่สุด 255 คน น้ำหนักบรรทุกสูงสุดประมาณ 18,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่เติมน้ำมันเต็มถังถึง 90,000 ลิตร เครื่องบินแบบนี้ก็คือ “ระเบิดบิน” อย่างแท้จริง เมื่อมันชนกับตึกด้วยความเร็วกว่า 570 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกายไฟทำให้น้ำมันลุกติดอย่างรุนแรง เกิดเป็นระเบิดไฟโหมอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดความร้อนได้พุ่งขึ้นสูงถึงอุณหภูมิ 800 oC
        วัสดุทั้งหลายรวมทั้งเหล็กกล้าที่เป็นโครงอาคารจะสูญเสียคุณสมบัติในด้านความแข็งแรงไปอย่างมากเมื่อได้รับความร้อนสูงถึง 2 ใน 3 ของจุดหลอมเหลว(ในกรณีของเหล็กจะมีค่าประมาณ 1,500 oC) แม้ว่าแท่งเหล็กจะฝังตัวอยู่ภายในคอนกรีต(ทั้งในพื้น และแกนหลักตรงกลาง)ก็ตาม ความร้อนก็สามารถทะลุเข้าไปถึงแท่งเหล็กได้ และเมื่อแท่งเหล็กสูญเสียความแข็งแรง แกนหลัก และพื้นจึงไม่อาจรับน้ำหนักอยู่ได้ นอกจากนั้น แท่งเหล็กที่รายล้อมอยู่บนผนังตึกก็เกิดการบิดงอ และเข้าใจว่าเกิดการถ่างออกด้านนอกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ พื้นคอนกรีตที่อาจจะหนักถึง 3,000 ตันก็ตกจากที่ของมันกระแทกลงไปยังพื้นชั้นล่าง
        ถ้าเป็นสภาวะปกติ พื้นแต่ละชั้นสามารถรองรับน้ำหนักจากชั้นบนเพียงชั้นเดียวได้ 100,000 ตัน แต่ต้องเป็นการใส่น้ำหนักลงไปทีละน้อย ส่วนกรณีนี้ พื้นชั้นบนที่ตกลงมาได้ประพฤติตัวคล้ายเครื่องตอกเสาเข็มที่กระทุ้งลงบนพื้นชั้นล่างที่อ่อนแอจากความร้อนจนถล่มตามลงไป หลังจากนั้น พื้นแต่ละชั้นก็ดิ่งลงสู่เบื้องล่างไปเรื่อยๆ จนพังทั้งตึก
        มีข้อสังเกตอยู่บ้างว่า ตึก 2 ที่พังก่อนนั้น(ตึกนี้ถูกชนระหว่างชั้น 82-93) มีลักษณะการพังแบบยุบตัวผสมกับการโค่นคล้ายกับเวลาเราโค่นต้นไม้ แต่ตึก 1 (ถูกชนระหว่างชั้น 95-103) กลับพังแบบยุบตัวอย่างเดียว เรื่องนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลมาอธิบายได้
        อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงขณะนี้ด้วยก็คือ กลไกการพังทลายตามที่อธิบายมานี้ เป็นการคาดเดาจากภาพการพังของตึกตามหลักวิชาเท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย ซึ่งข้อสรุปนั้นจะได้มาก็ด้วยการวิเคราะห์อย่างอุตสาหะ สุขุม ไม่ลำเอียง ในทุกแง่มุมรวมทั้งการวิเคราะห์โครงสร้างด้วย
        และตราบใดที่การวิเคราะห์โดยคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการมอบหมายยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้น เราก็ยังคงไม่อาจมั่นใจได้ว่า กลไกการวิบัติของตึกแฝดนี้เป็นกลไกที่ถูกต้องจริง และประชาคมโลกที่เฝ้าหน้าจอทีวีดูวินาทีประวัติศาสตร์ดังกล่าวก็จะยังคงมีคำถามค้างคาอยู่ในใจมากมาย




ส่งท้าย
เหตุการณ์ในวันนั้นเราผ่านมาแล้วก็จริง การสูญเสียตึกเวลิดร์เทรดเซนเตอร์จะเป็นแค่อนุสรณ์เตือนใจให้มนุษยชาติหรือไม่??? หรือเป็นแค่เหตุการณ์นึงที่บางคนอาจจะไม่ใส่ใจ เพราะในชีวิตเรามันก็สูญเสียกันมาทั้งชีวิต  
ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเอารัดเอาเปรียบกันอยู่ ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม เหตุการณ์เยี่ยงในวันนั้นจะไม่มีวันหมดไปแน่นอน..............
จะให้วันวันนั้นเป็นแค่วันวันหนึ่ง....เพียงนั้นหรือ??




เครดิต  www.panyathai.or.th/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น